ตำนานแห่งมนต์คาถา
มรดกภูมิปัญญาโลก
ภูมิปัญญาคนโบราณ
บำบัดรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยด้วย...มนต์คาถา...
คำร่ำลือเกี่ยวกับการสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนั้นมีมาก ถึงขนาดที่บอกว่าถ้าสวดถึง 7 ปี กระดูกจะลอยน้ำได้(เบามาก)
โดย ชลี
ไม่จำกัดยุคสมัย
เมื่อสมัยที่ผู้เขียนยังคร่ำเคร่งอยู่กับการงานในสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่งนั้น จู่ๆ เพื่อนร่วมงานผู้หญิงก็มาหาแล้วบอกว่า
“พี่ๆ ก้างติดคอ ทำไง”
“ก็ว่าคาถาสิ”ผู้เขียนตอบอย่างไม่แน่ใจว่าเธอจะเชื่อหรือเปล่า
“ว่าคาถายังไงล่ะ..”
“ก็กลืนน้ำแรงๆ พร้อมกับว่า ...อะระหัง... ในใจ”
เขาก็กลับไปนั่งโต๊ะแล้วเงียบไปพักหนึ่ง พอหายยุ่งงานก็นึกถึงเขา มองไปก็เห็นนั่งปกติอยู่ก็เลยร้องถามไปว่า
“เป็นไงล่ะ ก้างติดคอน่ะ..”
“หายแล้ว...”
“อ้าว... แล้วทำยังไงถึงหายล่ะ”
“ก็อย่างที่พี่บอก กลืนน้ำแรงๆ และก็ว่า ...อะระหัง... ในใจ”
ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกยินดีด้วย ความจริงที่บอกไปนั้นผู้เขียนทราบดีว่าไม่ใช่มนต์คาถาที่ใช้แก้ไขในเรื่องก้างติดคอโดยเฉพาะ แต่ผู้เขียนเคยเรียนจากผู้รู้ลึกไปกว่านั้นว่าพระพุทธคุณนั้นมีอานุภาพไม่จำกัด คำว่า “อะระหัง” มีความหมายว่า “ห่างไกลจากกิเลส” หากเอาความหมายความยึดมั่นทางสมมุติทางภาษา ก็จะมีความสำคัญมั่นหมายไปในทำนองปลดเปลื้องรื้อถอนความทุกข์ออก จึงสามารถระลึกเอาพระบารมีเป็นที่พึ่งได้ แม้ความทุกข์ในเรื่องอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน
ดังนั้น คำว่า อะระหัง นี้จึงสำคัญนัก ในยามเมื่อมีภัยก็สามารถระลึกเอาเป็นที่พึ่งในใจได้ตลอด พึ่งได้ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าบริกรรมอย่างแน่วแน่ต่อเนื่องมากๆ จนเป็นกรรมฐานก็เข้าถึงความสงบได้ เมื่อสมาธิเกิดก็ระลึกใช้ได้ดังใจ
ย้อนอดีต
ผู้เขียนย้อนรำลึกไปถึงสมัยยังเด็ก อาศัยอยู่บ้านนอกทางภาคอีสาน พอก้างติดคอก็บอกแม่ ๆ ก็บอกว่า
“ไปหา ลุงบับ สิ ให้ลุงบับเสกน้ำให้กิน”
ผู้เขียนก็รีบวิ่งไปหาลุงบับที่บ้านข้างๆ ทันที พอไปถึงบอกว่าก้างติดคอเท่านั้น ลุงบับก็คว้ากระบวยกะลามะพร้าวตักน้ำในโอ่งขึ้นมา หลับตาบริกรรมอยู่ครู่หนึ่งแล้วเป่าพรวดลงไปในน้ำ จากนั้นจะเหวี่ยงก้านกระบวยสาดน้ำขึ้นไปบนหลังคา แล้วเอากระบวยไปรอรับน้ำจากท่อสังกะสีที่ไหลมาจากรางริน พอได้น้ำก็ส่งกระบวยให้ผู้เขียนดื่ม
ผู้เขียนจำได้ว่าอาการก้างติดคอนั้นบางครั้งก็หายทันที แต่บางครั้งก็ใช้เวลา พอเล่นอะไรไปชักลืมๆ ก็หายไปแล้ว
ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก
แม่ของผู้เขียนเป็นคนที่เชื่อเรื่องการสวดมนต์มาก อยู่บ้านนอกคอกนาป่าเขาเจ็บไข้ได้ป่วยบางครั้งหยูกยาไม่มี นอกจากสมุนไพรพื้นบ้านแล้วก็อาศัยมนต์คาถานี่แหละเป็นที่พึ่ง พอท้องร่วงก็ไปถากเอาเปลือกมะม่วงมาแช่น้ำกิน เปลือกตุมกาแก้ปวดท้องอย่างแรง มีไข้ก็ใช้ยาเย็นคือเอาพวกเปลือกหอย ลิ่นทะเล หรือกระดูกช้าง ฯลฯ มาฝนกับน้ำกิน
ครั้งหนึ่งลูกมีไข้สูง แม่ไม่มีทางบำบัดด้วยยาขนานไหนก็ได้สวด ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก อาราธนาคุณแห่งพระคาถาช่วย ปรากฏว่าไข้ลดลงอย่างเห็นทันตา จนกระทั่งหายในที่สุด
คำร่ำลือเกี่ยวกับการสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนั้นมีมาก ถึงขนาดที่บอกว่าถ้าสวดถึง 7 ปี กระดูกจะลอยน้ำได้(เบามาก) เชื่อหรือไม่ก็ตามแต่วิจารณญาณ
ผู้เขียนจำได้ว่ามีอุบาสิกานุ่งขาวท่านหนึ่งอายุใกล้ร้อยปี จำศีลอยู่ที่ วัดบางเพ็งใต้ เขตมีนบุรี ท่านบอกว่าสวด ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นประจำไม่เคยขาด ที่น่าประหลาดคือ แม้จะอายุมากแล้วแต่ท่านสุขภาพดีและช่างดูแจ่มใสมีสง่าราศีอย่างน่าอัศจรรย์ ท่านอาจจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ได้ติดตามข่าวคราวของท่านเลยว่ากระดูกของท่านลอยน้ำได้หรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม ท่านผู้ปฏิบัติธรรมนั้นคงไม่ได้หวังว่าจะให้กระดูกของท่านเป็นพระธาตุหรือลอยน้ำได้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้เพียงแต่เป็นข้อสังเกตของอนุชนรุ่นหลังเท่านั้นเอง
ในหลักแนวคิดบางอย่างของปุถุชนก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเหลวไหลงมงายไปเสียหมดทีเดียว เพราะประจักษ์พยานก็บอกชัดว่า คนเสพยาเสพติดนั้น พอตายแล้วเอาไปเผาจะเห็นว่าภายในกระดูกเปื่อยยุ่ยดำเป็นถ่าน ส่วนผู้บรรลุธรรมก็มักจะกลายเป็นพระธาตุแบบต่างๆ ปริศนาเรื่องไขกระดูกอันเป็นตัวสร้างเม็ดเลือดและภูมิต้านทานรวมไปถึงโครงกระดูกมนุษย์กับการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลา 7 ปี อาจมีเรื่องล้ำลึกอีกไม่น้อย
###
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น